เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 กันยายน 2561 ณ ห้องประชุม 205 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ พระเมธีธรรมาจารย์   รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมกับ ดร.ศุภชัย ผ่องสวัสดิ์ ดร.อโณมา วิจิตรวิกรม พร้อมด้วยคณะได้ประชุมหารือในเรื่องกิจการการดำเนินงานของ มจร ปรารภเหตุปัจจุบันมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งนี้มีงบประมาณในการบริหารจัดการค่อนข้างจำกัด ในขณะที่การศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์สามเณรกลับเจริญก้าวหน้าตามลำดับ มหาวิทยาลัยมีสถาบันสมทบใน 6 ประเทศที่ทวีปยุโรป และเอเชีย ในประเทศมีวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ และหน่วยวิทยบริการ ที่เรียกว่าเป็นสาขาของมหาวิทยาลัยกระจายอยู่ใน 47 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาค

พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวว่า พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานทั่วโลกก็ให้ความสนใจเข้ามาศึกษาเล่าเรียนเป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันมีนิสิตมากว่า 25,000 รูป/คน สำหรับในส่วนกลางคือ มจร มีทั้งนิสิตภาคปกติ ภาคพิเศษและภาคสมทบไปศึกษาเล่าเรียนประมาณ 4,000 – 5,000 รูป/คน สำหรับพระนิสิต (นิสิตที่เป็นพระสงฆ์สามเณร) นั้นมหาวิทยาลัยต้องรับภาระในการถวายภัตตาหาร เช้า เพล และรถรับส่ง ในแต่ละวันเฉลี่ยแล้วมีพระภิกษุสามเณรฉันภัตตาหารเช้า เพลมากกว่า 1,000 รูป ต่อวัน (สูงสุดวันธรรมดากว่า 2,000 รูป วันงานเช่น พิธีประสาทปริญญา พระสงฆ์มากกว่า 10,000 รูปที่หอฉัน) ภาระทั้งหมดนี้มหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายต่อปี ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท เดือนละ 1 ล้านบาท ไม่รวมค่าพาหนะรับส่งประมาณปีละ 8 ล้านบาท และรวมทั้งภาระอื่นๆ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว วันนี้คณะผู้ริเริ่มจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จึงได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการถวายความอุปถัมภ์แบ่งเบาภาระเพื่อให้การศึกษาสงฆ์ในส่วนนี้เดินหน้าไปได้ เบื้องต้นจึงมีมติร่วมกันว่าจะช่วยกันบริจาคและระดมทุนเพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนาและส่งเสริมการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อพระภิกษุ สามเณร ทั้งพระสงฆ์สามเณรนานาชาติ และในประเทศโดยผ่านกิจกรรมในหลากหลายรูปแบบร่วมกันสืบทอดพระพุทธศาสนาผ่านการศึกษามหาวิทยาลัยสงฆ์

Cr.มติชน